การพบพานของสองจอมยุทธ - การพบพานของสองจอมยุทธ นิยาย การพบพานของสองจอมยุทธ : Dek-D.com - Writer

    การพบพานของสองจอมยุทธ

    เป็นการจำลองเหตุการณ์หากอึ้งเซียงและต๊กโกวคิ้วป่ายได้พบเจอกันครับ

    ผู้เข้าชมรวม

    1,227

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    1.22K

    ความคิดเห็น


    11

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  24 พ.ค. 48 / 23:44 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      บนถนนเปลี่ยวร้างสายหนึ่งในยามเย็น มีขบวนเกี้ยวของขุนนางผู้หนึ่งกำลังเดินทางผ่านมาอย่างเงียบงัน นายทหารรูปร่างสูงใหญ่ที่ได้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าองครักษ์พลันชะงักฝีเท้าลง เมื่อเห็นว่าบนโขดหินข้างเส้นทางเบื้องหน้ามีชายผู้หนึ่งกำลังยืนนิ่งราวกับรูปสลักศิลา สายตาทอดยาวไปไกลราวกับจะมองเห็นสิ่งที่อยู่สุดขอบฟ้า แม้จะรู้สึกครั่นคร้ามต่อกิริยาเหล่านี้โดยไม่มีเหตุผล แต่ด้วยศักดิ์ศรีของมัน จำต้องขับไล่คนผู้นี้ไปเสีย  

              \"มุสิกตนใดกล้ามายืนขวางทาง จงไสหัวไปเดี๋ยวนี้!\"

          หัวหน้าองครักษ์ตวาดด้วยเสียงดังลั่นไปทั่วทั้งหุบเขา แสดงให้เห็นถึงพลังการฝึกปรือที่ยอดเยี่ยม แต่ดูเหมือนบุรุษบนโขดหินผู้นี้ จะไม่แยแสสนใจมันเลย นับตั้งแต่รับราชการมาได้สิบกว่าปี นี่เป็นครั้งแรกที่มันถูกสบประมาทถึงเพียงนี้ จึงกระโจนเข้าหาอีกฝ่ายอย่างว่องไวพร้อมกับชักดาบหมายจะตัดหัวบุรุษโอหังผู้นี้ลงเสีย แต่แล้วก็มีเสียงจากภายในเกี้ยวกล่าวห้ามปรามมัน

              \"อย่าเหลวไหล อี้จื่อ\"

          น้ำสียงนี้กล่าวอย่างราบเรียบธรรมดา แต่กลับดังกังวานจนได้ยินชัดเจนทั่วทุกคน อี้จื่อหยุดเคลื่อนไหวในทันที แต่แล้วกลับทรุดลงช้าๆ จนนอนคว่ำหน้ากับพื้น โดยไม่มีทหารคนใดเห็นชัดว่าเกิดอะไรขึ้น ในยามนี้ผู้ที่อยู่ในเกี้ยวจึงก้าวออกมา เผยให้เห็นใบหน้าที่คมคายอ่อนเยาว์ผิดกับตำแหน่งขุนนางที่คนผู้นี้ได้รับโดยสิ้นเชิง ขุนนางหนุ่มผู้นี้ประสานมือกล่าวอย่างสุภาพกับบุรุษบนโขดหินว่า

              \"ขอบคุณพี่ท่านที่ออมมือ\"

          พลางโบกมือสั่งให้ทหารที่พากันแตกตื่นขวัญหนีดีฝ่อ ไปอุ้มหัวหน้าองค์รักษ์เข้ามา นายทหารสองคนเดินเข้าไปอุ้มอี้จื่ออย่างกล้าๆกลัวๆ แล้วก็รับถอยกลับมาอย่างรวดเร็ว ที่แท้อี้จื่อยังไม่ตาย เพียงแต่ถูกสกัดจุดเอาไว้ด้วยสิ่งใดก็สุดที่จะทราบได้  บุรุษชุดดำบนโขดหินพริ้วตัวลงมาจากโขดหินอย่างแผ่วเบาราวกับมีร่างกายเป็นปุยนุ่น  ก่อนจะกล่าวกับขุนนางหนุ่มคนนั้นด้วยน้ำเสียงที่นักแน่นกังวานไม่แพ้กันว่า

              \"ท่านคืออึ้งเซียง?\"

              \"มิผิด ข้าพเจ้าคืออึ้งเซียง มิทราบว่าท่านคือคนของนิกายเม้งก่าอย่างนั้นรึ\"

              \"เฮอะ อาศัยพวกมัน ยังไม่คู่ควรยกมาเทียบกับเรา ฟังว่าอาศัยเพียงท่านลำพังก็สยบ4ผู้คุมกฏ และชนชั้นหัวหน้าหน่วยได้หลายสิบคน และยังทำร้ายประมุขนิกายจนบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย นี่เป็นความจริงหรือไม่\"

              \"ใช่แล้ว เหล่านิกายนอกรีตเหล่านี้ไม่เห็นกฏหมายบ้านเมืองอยู่ในสายตา กระทำการตามอำเภอใจ ก่อความวุ่นวายแก่ราษฎร ข้าพเจ้าจึงได้รับบัญชาจากองค์ฮ่องเต้ให้ไปกวาดล้างให้สิ้นซาก แต่จนใจที่กองทหารของพวกเรามีฝีมือและความห้าวหาญอ่อนด้อยกว่า ถูกตีแตกพ่ายยับเยิน ข้าพเจ้าจึงได้ท้าสู้กับพวกมันตัวต่อตัวและปลิดชีวิตอีกฝ่ายไปเป็นจำนวนมาก หรือว่าในบรรดาคนเหล่านั้นมีคนรู้จักของท่าน ท่านจึงต้องการจะล้างแค้น?\"

              \"เหลวไหล! แพ้ก็คือแพ้ จะอยู่หรือตาย ล้วนเป็นสิทธิของผู้เข้มแข็งกว่า พวกมันล้วนอ่อนด้อย ตายไปก็สมควรแล้ว จุดประสงค์ที่ข้ามาพบท่านในวันนี้มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น\"  

              \"ท่านต้องการอะไร?\"

              \"ประลองกับท่าน\"

          กล่าวจบบุรุษผู้นั้นก็ชักกระบี่อ่อนประกายสีม่วงที่พันไว้รอบเอวออกมา เพียงสะบัดจู่โจม1กระบวนท่า นอกจากจะคุกคามให้อึ้งเซียงถอยไปได้แล้ว  ตัวกระบี่ยังเลื้อยเลี้ยวราวกับมังกรที่มีชีวิต กระแทกทำลายดาบของเหล่าทหารนับสิบที่อยู่รอบๆจนหักสะบั้น พลังที่แฝงมาในกระบี่ยังทำให้ทหารทั้งหมดสิ้นสติไปพร้อมกันในพริบตา  อึ้งเซียงถึงกับตื่นตกใจระคนเลื่อมใส เพราะนับตั้งแต่เขาเรียบเรียงศึกษาคัมภีร์เต๋ากว่า5พันเล่มทั่วทั้งแผ่นดิน จนสามารถคิดค้นและสำเร็จยอดวิชามีพลังภายในภายนอกแกร่งกร้าวสุดสูง ไม่เคยมีใครใช้เพียงกระบวนท่าเดียวคุกคามเขาได้เช่นนี้ อึ้งเซียงจึงร้องถามนามกรของอีกฝ่ายทันที

              \"คนในยุทธภพเรียกขานเราว่า เกี้ยมม้อ(มารกระบี่) แต่เราพอใจเรียกตัวเองว่า ต๊กโกวคิ้วป่าย(ต๊กโกวแสวงพ่าย)!\"    

          กล่าวเพียงเท่านี้ การประลองยุทธที่ดุเดือดที่สุดในยุทธจักรก็อุบัติขึ้นโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้  การรุกรับหักล้างกันของทั้งสองดำเนินไปติดต่อกันถึง3วัน3คืน  เปลี่ยนจากถนนสายนี้ไปสู่ป่าทึบ หุบเขาสูง และทุ่งหญ้ากินอาณาเขตบริเวณหลายสิบลี้ ท่ามกลางเวลาที่ผ่านไปรวดเร็วราวกับติดปีก ทั้งสองคนต่างก็นึกเลื่อมใสอีกฝ่ายจากใจจริง อึ้งเซียงนับถือในกระบวนท่ากระบี่อันล้ำลึกไร้ขอบเขตของต๊กโกวคิ้วป่าย ในขณะที่ต๊กโกวก็นึกชื่นชมในพลังปราณที่เข้มแข็งสมบูรณ์ของอึ้งเซียง  จนต่างคนต่างมั่นใจแล้วว่าหากหักล้างเช่นนี้สืบไป ผลแพ้ชนะคงไม่อาจตัดสินได้แน่ อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บกันไม่น้อย จึงพลันหยุดมือพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย อึ้งเซียงประสานมือคำนับแล้วกล่าวว่า

              \"เพลงกระบี่ของพี่ต๊กโกว ลึกล้ำสูงส่งยิ่งนัก ข้าพเจ้านับถือยิ่ง\"    

              \"พลังภายในของเจ้าก็กร้าวแกร่งหนักแน่น นับเป็นหนึ่งในแผ่นดินได้โดยแท้ นับตั้งแต่ข้าท่องยุทธภพมา มีเจ้าเป็นคนแรกที่รับมือ8กระบี่ต๊กโกวได้ถึงเพียงนี้ เสียดายแต่ว่าเจ้ามีพลังภายในยอดเยี่ยม แต่กลับมีกระบวนท่าเรียบง่ายไม่เพียงพอต่อการฉกฉวยโอกาส มิเช่นนั้นความหวังที่จะพ่ายแพ้ของข้า คงพอจะมีอยู่บ้างแล้ว\"

          อึ้งเซียงได้ยินดังนี้ ก็คล้ายดั่งมีประกายสายฟ้าแวบขึ้นในหัว ที่ผ่านมาเขาสะดุดใจกับปัญหาข้อนี้อยู่เหมือนกัน แต่ด้วยความที่น้อยครั้งจะได้ประมือกับยอดฝีมือเนื่องเพราะเขาเป็นขุนนางมิใช่ชาวยุทธ อีกทั้งยังเชื่อมั่นในพลังภายในของตัวเองว่าเพียงพอต่อการสยบผู้คนแล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจต่อท่าร่างมากนัก คำพูดของต๊กโกวในครั้งนี้ ช่วยให้เขาเห็นทางสว่างได้เด่นชัด แม้ทั้งคู่จะพึ่งพบหน้ากันได้ไม่นาน แต่หลังจากประมือและพูดคุยกัน ในใจของทั้งสองก็คล้ายดั่งรู้จักสนิทสนมกับอีกฝ่ายมาหลายสิบปี ทั้งสองจึงตัดสินใจคบหาเป็นสหายกัน  อึ้งเซียงเล่าเรื่องราวความเป็นมาที่ตนเองมีวรยุทธจากการเรียบเรียงตำราลัทธิเต๋าให้ฮ่องเต้ โดยไม่มีใครสอนสั่ง ทำให้ต๊กโกวยิ่งชื่นชมภูมิปัญญาที่หลักแหลมของอึ้งเซียงขึ้นไปอีก ต๊กโกวจึงบอกกับอึ้งเซียงว่า

              \"แม้ในใจของข้าจะแสวงหาความพ่ายแพ้เพราะไม่อาจพบพานคู่มือที่เปรียบติด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมสยบให้ผู้คนโดยง่าย หลังจากนี้ข้าจะลองคิดค้นกระบวนท่าที่จะทำลายพลังลมปราณของเจ้าดูบ้าง! เมื่อเจ้าคิดค้นกระบวนท่าที่ยอดเยี่ยมได้บ้างแล้ว เราสองจงมาประลองกันอีกครั้ง ดูสิว่าใครจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ฮะๆๆ\"  

          อึ้งเซียงจึงตกลงรับคำ จากนั้นทั้งสองก็แยกจากกันในราตรีของวันที่4 เพราะอึ้งเซียงติดภาระต้องไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เพื่อถวายรายงานผลการปราบปรามนิกายเม้งก่า  แม้จะรู้สึกอาลัยที่ต้องจากกับผู้รู้ใจที่เพิ่งคบหาได้ไม่นาน แต่ในใจของต๊กโกวก็อิ่มเอิบยิ่งเนื่องเพราะพบพานผู้ที่จะมามอบความพ่ายแพ้ให้ตนได้แล้ว แต่ทว่า...

              \"พวกเราทั้งหลายต่างต้องขอบใจท่านต๊กโกวจริงๆ\"

          ชายวัยกลางคนหลายสิบคน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเจ้าสำนักใหญ่ในยุทธจักร พาบริวารและชาวยุทธจำนวนมากนำทรัพย์สินเงินทองมากำนัลแก่ต๊กโกว ในขณะที่เขากำลังดื่มสุราอยู่บนโรงเตี๊ยมในเมืองแห่งหนึ่ง สร้างความฉงนสงสัยแก่ต๊กโกวยิ่งนัก เพราะแม้ต๊กโกวจะท่องยุทธภพมานาน แต่ก็พูดได้เต็มปากว่าท่านชมชอบรังควานหาเรื่องผู้คน มากกว่าจะเพาะสร้างบุญคุณแก่ใคร แล้วเหตุใดคนกลุ่มนี้ จึงพากันมาขอบอกขอบใจตน?

              \"ถ้าไม่เพราะท่านต๊กโกวลงมือสั่งสอนเจ้าขุนนางชั่วอึ้งเซียงแล้วละก็ พวกเราคงจัดการกับมันไม่....\"

          คำว่า\"ได้แน่\"ยังไม่ทันหลุดจากปากของคนผู้นั้น ต๊กโกวก็บรรลุถึงเบื้องหน้ามัน แล้วกระชากคอเสื้อยกขึ้นโดยไม่มีผู้ใดรู้ตัวเลย ชายคนนี้เป็นถึงเจ้าสำนักดาบว่องไวที่โอ้อวดว่ามีวิชาตัวเบายอดเยี่ยมที่สุด แต่เมื่อมาพบกับท่าร่างของต๊กโกวก็ไม่ผิดอะไรกับเต่าตัวหนึ่งมองดูอัศนีบาต

              \"เจ้าทำอะไรอึ้งเซียง! จงบอกกล่าวมาให้หมด\"

          เสียงตวาดถามในครั้งนี้ถึงกับทำร้ายผู้มีพลังภายในอ่อนด้อยปั่นป่วนไปหมด มีบางคนถึงกับทรุดเข่าลงไปเลยทีเดียว คนที่ถูกต๊กโกวยกขึ้นกล่าวเสียงสั่นๆ เล่าถึงเรื่องราวที่เหล่าชาวยุทธซึ่งเป็นญาติพี่น้องของผู้ที่ถูกอึ้งเซียงฆ่าตายไปในเม้งก่า ได้รวมตัวกันถกเถียงถึงพฤติกรรมที่ขัดกับกฏชาวยุทธของอึ้งเซียง ว่าไม่เคารพกฏบู๊ลิ้มแถมยังโป้ปดอีกว่า สำเร็จยุทธโดยไม่มีใครสอน จึงพากันกลุ้มรุมจู่โจมจนบาดเจ็บสาหัส พลัดตกภูเขาไป ชาวยุทธบางส่วนที่ยังไม่หายโกรธแค้นจึงได้บุกไปฆ่าล้างครอบครัวของอึ้งเซียงจนหมดสิ้น

              \"ตะ...แต่ว่า เราไม่พบศพของมัน คะ..คาดว่าอึ้งเซียงน่าจะหนีไปได้ ท่าน..ท่านต๊กโกวก็เคยต่อสู้กับมัน ท่านไม่ได้เป็นศัตรูกับมันหรอกรึ?\"

          น้ำเสียงนั้นถามด้วยความแปลกใจจริงๆมิได้เสแสร้งแกล้งแต่งขึ้น ที่แท้ในตอนที่ต๊กโกวและอึ้งประมือกัน ได้เปลี่ยนย้ายสถานที่ไปมากมายจนมีชาวยุทธที่มีความแค้นกับอึ้งเซียงพบเห็นโดยบังเอิญ จึงได้ระดมผู้คนมาคิดบัญชีกับอึ้งเซียง หลังจากเขาแยกทางกับต๊กโกวได้ไม่นาน หากไม่เพราะอึ้งเซียงสูญเสียพลังภายในไปจากการประลองจนเกือบหมด และไม่มีความช่ำชองในเชิงกระบวนท่าเพียงพอ แม้ไม่อาจเข่นฆ่าเหล่าชาวยุทธกลุ่มนี้ได้ ก็ไม่ถึงกับได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่  ต๊กโกวได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็เดือดดาลยิ่งนัก บังเกิดความคิดจะสังหารเหล่าวิญญูชนจอมปลอมพวกนี้ให้สิ้นซาก แต่พลันหวนคิดได้ว่าหากอึ้งเซียงมีชีวิตอยู่จริง คงต้องการจะแก้แค้นด้วยตัวเองมากกว่า อีกทั้งเรื่องนี้ยังเป็นความผิดของตนส่วนหนึ่งด้วย เพราะถ้าอึ้งเซียงไม่สูญเสียพลังภายในไป  ลำพังชนชั้นสวะเหล่านี้คงไม่อาจทำอันตรายแก่เขาได้เด็ดขาด เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้วแม้จะอาฆาตแค้นพวกมันจนสุดใจ ก็ได้แต่อดกลั้นเอาไว้ก่อน ต๊กโกวจึงเหวี่ยงร่างของชายที่หิ้วอยู่ข้ามศีรษะผูคนหลายสิบคนลอยไปตกอยู่นอกร่าง แล้วผนึกลมปราณเปล่งเสียงดังสะท้านไปไกลว่า

              \"จงไสหัวไปเดี๋ยวนี้..\"  

          สิ้นเสียงของต๊กโกวผู้คนในโรงเตี๊ยมไม่เพียงแค่ชาวยุทธเท่านั้น แม้แต่ผู้ที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็พากันแตกตื่นวิ่งหนีกันจ้าละวั่น เพียงอึดใจเดียวทั่วทั้งโรงเตี๊ยมก็เงียบงันประหนึ่งสุสาน  นับตั้งแต่นั้นก็แทบจะไม่ผู้ใดได้พบเห็นต๊กโกวอีกเลย เพราะท่านได้ท่องเที่ยวเสาะหาเบาะแสของอึ้งเซียง เพียงลำพัง และยังคิดค้นกระบวนท่าที่9 \"ทำลายลมปราณ\"เพิ่มเติมลงจากเดิม8ท่าได้สำเร็จ เรียกเพลงกระบี่ทั้งหมดที่ตนเองคิดขึ้นมาว่า \"9กระบี่เดียวดาย\" สยบเหล่าศัตรูและผู้กล้าได้ทั่วทั้งแผ่นดิน  ความหมายของคำว่าเดียวดายนอกจากจะบ่งบอกถึงความเศร้าที่ไร้ผู้เปรียบติดแล้ว ยังแสดงถึงความคิดคำนึงถึงอึ้งเซียงสหายผู้ทัดเทียมท่านเพียงคนเดียว ส่วนกระบี่อ่อนกุหลาบม่วง ที่ใช้ต่อสู้กับอึ้งเซียง ต๊กโกวได้ขว้างทิ้งลงหน้าผา เนื่องเพราะมันได้ทำร้าย\"จอมยุทธฝ่ายธรรมะ\"ที่แท้จริงอย่างอึ้งเซียงไป จึงนับเป็นศาสตราอัปมงคลยิ่ง  และหันไปใช้กระบี่นิลที่ไร้คมและมีน้ำหนักมากแทน ส่วนหนึ่งก็เพื่อคิดค้นกระบวนท่าทำลายลมปราณเพื่อรอวันที่อึ้งเซียงจะหวนกลับมาตามคำมั่นสัญญา ทว่า  ผ่านกาลเวลาไปหลายสิบปี ต๊กโกวก็ยังไม่พบเห็นข่าวคราวของอึ้งเซียงเลย ทั้งยังได้ยินว่าศัตรูของอึ้งเซียงที่มีอายุมากหลายคน ได้พากันล้มตายไปตามอายุขัยเยอะแล้ว จึงได้ละทิ้งยุทธภพที่ไร้ซึ่งคู่มือตน ไปพำนักยังสถานที่เร้นลับและได้พบกับอินทรีน้อยตัวหนึ่งที่บินไม่ได้ อินทรีตัวนี้มีความจำดีเยี่ยมยิ่งนัก มันคอยมองดูวิธีการฝึกปรือของต๊กโกวจนขึ้นใจ แล้วนำไปดัดแปลงใช้จับเหยื่อหากิน ชดเชยข้อเสียเปรียบที่บินไม่ได้ กระทั่งมันเติบใหญ่สูงกว่าต๊กโกว ต๊กโกวจึงยึดเอามันเป็นคู่ซ้อมมือแก้เหงา จนในที่สุดก็เข้าสู่ขอบเขตไร้กระบี่เหนือกว่ามีกระบี่  และได้ฝังกระบี่ที่เคยใช้ทั้งหมดไว้ พร้อมกับเขียนคำอธิบายเกี่ยวกับกระบี่ของตน ก่อนจะสิ้นชีพในอีกไม่กี่ปีต่อมาอย่างสงบ..

          ทางด้านอึ้งเซียงภายหลังจากถูกเหล่าจอมยุทธทำร้ายจนตกหน้าผา เคราะห์ดีที่ไปเกี่ยวเข้ากับกิ่งไม้ที่ยื่นออกมา ทำให้ลดแรงกระแทกก่อนจะร่วงหล่นลงกอไม้เบื้องล่าง แต่ทั่วร่างเขาได้รับบาดแผลจากอาวุธมากมายทำให้เสียเลือดไปมาก กว่าจะฟื้นฟูพลังภายในและเคลื่อนไหวกลับไปบ้านได้ ก็พบว่าครอบครวของตนถูกสังหารไปหมดแล้ว อึ้งเซียงพกพาความคับแค้นใจนี้ หนีไปหลบซ่อนตัวในป่าลึกที่ไร้ผู้คน อึ้งเซียงไม่ได้โกรธแค้นต๊กโกวเลยที่เป็นสาเหตุให้ตนพลาดท่าเหล่าจอมยุทธที่ต่ำช้าพวกนี้ แต่กลับสำนึกตื้นตันใจมากกว่าที่ต๊กโกวได้ให้คำชี้แนะเกี่ยวกับวรยุทธแก่เขา จึงหวนนึกถึงแนวทางวิชาที่เหล่าศัตรูของเขาใช้  แล้วเริ่มคิดค้นกระบวนท่าที่จะสยบทุกหลักวิชาให้ได้ แม้จะถูกกลุ้มรุมมากมายสักเพียงใด หรือต่อให้มีพลังลมปราณหลงเหลือเพียงน้อยนิด ก็ต้องสามารถใช้กระบวนท่านี้จัดการศัตรูได้  อึ้งเซียงจึงเริ่มพลิกแพลงใช้นิ้วหรือกรงเล็บต่างกระบี่ สร้างกระบวนท่าจู่โจมมากมาย กระทั่งเวลาผ่านพ้นไปราวติดปีก 40ปีต่อมาอึ้งเซียงพัฒนากระบวนท่าได้สมบูรณ์แบบก็กลับสู่ยุทธภพเพื่อล้างแค้น แต่เหล่าศัตรูของเขาก็พากันแก่ตายไปหมดแล้ว สร้างความเสียใจแก่เขายิ่งนัก อึ้งเซียงได้ตามหาต๊กโกวเพื่อทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้ แต่จนใจที่ไม่อาจพานพบ นั่นเพราะต๊กโกวได้ปลีกตัวไปอยู่หุบเขาเร้นลับกับอินทรียักษ์และเสียชีวิตไปนานแล้ว อึ้งเซียงสำนึกว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน จึงไม่อยากไปให้ยอดวิชาที่ตนอุตส่าห์สร้างขึ้นมาสูญหายไป จึงได้คัดลอกเป็นคัมภีร์สองเล่ม เล่มแรกเขียนถึงหลักการฝึกปรือลมปราณที่ตนเรียนรู้มาในวัยหนุ่ม ส่วนเล่มหลังเป็นเคล็ดวิชาเกี่ยวกับกระบวนท่าที่ตนศึกษาค้นคว้ามาหลายสิบปีนี้ ตั้งชื่อคัมภีร์ทั้งสองเล่มนี้ว่า \"เก้าอิมจินเก็ง\"(สัจจะ9ปี)  การสร้างคัมภีร์ทั้งสองเล่มนี้นอกจากจะต้องการให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ถึงภูมิปัญญาของตนแล้ว ยังจงใจจะแก้แค้นเหล่าชนชาวยุทธที่ทำลายชีวิตของตน ทั่วทั้งใต้หล้าอีกด้วย เนื่องเพราะความซับซ้อนของเก้าอิมจินเก็งไม่อาจจะฝึกปรือให้บรรลุได้ง่ายๆ หากมันปรากฏในยุทธจักรเมื่อใด อึ้งเซียงมั่นใจว่าจะต้องเกิดการเข่นฆ่าแย่งชิงกันขึ้นในหมู่ผู้มีใจละโมภแน่ๆ  ส่วนเหตุผลอีกข้อก็คือ..

              \"ถ้ามีวันใดที่ผู้สืบทอดเพลงกระบี่ของพี่ต๊กโกวปรากฏกายขึ้นในยุทธภพ และได้ประลองกับผู้สำเร็จวิชาเก้าอิมจินเก็ง ไม่ว่าผลแพ้ชนะจะเป็นเช่นไร ก็นับว่าคำสัญญาของพวกเราบรรลุผลแล้ว\"

          จากนั้นอึ้งเซียงก็เขียนประวัติของตนและที่มาที่ไปของคัมภีร์นี้บักทึกลงไปด้วย โดยไม่กล่าวถึงต๊กโกวคิ้วป่ายเพราะไม่ต้องการให้ใครโทษว่าท่านเป็นต้นเหตุให้ตนเองประสบเคราะห์กรรม และไม่อยากรวมท่านเข้ากับพวกชาวยุทธจอมปลอมทั้งหลายในยุคนั้นด้วย  แล้วอึ้งเซียงก็สิ้นอายุขัยลงอย่างสงบ หลังจากนั้นไม่นาน...

                                                                                      

                                                                                          *End*

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×